สวัสดีครับ วันนี้ผมจะขออนุญาตนำเอาเรื่องใกล้ตัวเกี่ยวกับการใช้ยาของคนไทยหรือทั้งโลกมาเล่าให้ท่านได้ใช้เป็นข้อคิดว่า “ยาคือคำตอบสุดท้ายในการรักษาโรคจริงหรือ” มาเล่าให้ท่านฟังเป็นข้อมูลในการดูแลสุขภาพ ในเรื่องที่เชื่อมโยงกับยานี้ คิดว่าหลายท่านคงจำเรื่อง โครงการนำยามาแลกไข่กันได้อยู่ โดยเมื่อต้นปี 2555 กระทรวงสาธารณะสุขได้ทำการรณรงค์ผ่าน “โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล” เพื่อให้ประชาชนนำยาเก่ามาแลกไข่ไก่ หลายท่านอาจจะจำได้ที่เราเก็บรวบรวมยาเก่าหมดอายุหรือยาที่กินไม่หมด หอบไปที่ รพ.สต. ที่อยู่ใกล้บ้านไปแลกไข่ไก่ได้มาคนละ 2 ฟองหรือบางท้องที่อาจได้มากกว่า ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ รพ.สต. ได้ลงทุนควักกระเป๋าตัวเอง ซื้อไข่ไก่แลกยาเก่าที่สามารถเก็บคืนมาจากประชาชนมาได้มากมาย ทำให้เราได้ทราบความจริงว่าคนไทย กินยามากมายถึงวันละ 128 ล้านเม็ดหรือปีละ 4.7 หมื่นล้านเม็ด
จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งชีวิต ผมคิดว่าเป็นการยากที่จะเปลี่ยนทัศนะคติของผู้ป่วยทั่วโลกที่คิดว่ายาคือที่พึ่งที่ดีที่สุดหรืออย่างน้อยเมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาคนทุกคนก็จะนึกว่าจะใช้ยาเป็นที่พึ่งก่อนเสมอ ในทัศนะคติแบบนี้ผมว่า มองได้สองแบบที่สอดคล้องกับการเจ็บป่วยของเราที่สามารถแบ่งออกได้เป็นสองอย่างก็คือ โรคที่เป็นเองหายเองได้ หรือโรคอีกอย่างที่เป็นแล้วต้องรักษาจึงจะหายถ้าไม่รักษาก็ไม่หายเป็นอันตรายถึงชีวิต หากเราเป็นโรคที่เป็นแล้วหายได้เอง เราไม่จำเป็นต้องกินยาใดๆโรคก็จะหายไปได้เองเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 7-14 วันเช่นไข้หวัดธรรมดา คางทูม โรคหัด ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส การเจ็บป่วยหรือไม่สบายจะเป็นอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น โดยมากจะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว เป็นไข้ เจ็บคอหรือมีผื่นคันตามตัวกรณีของโรคหัด อีสุกอีใส ประมาณ 7-14 วัน แล้วอาการของโรคก็จะสงบและหายไปเอง ซึ่งเรื่องนี้ผมก็อยากแสดงความเห็นเพิ่มเติมตามแนวคิดของพระบรมศาสดาที่ทรงสอนไว้ว่า “สิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับทุกสิ่งก็ดับ” การหายของโรคติดเชื้อไวรัสจึงไม่ควรใช้คำว่า “หายไปได้เอง” ผมขอเรียนท่านผู้ฟังว่า โรคที่ทางการแพทย์แบบแผนได้ลงความเห็นว่า เป็นเองหายเอง เราก็ไม่ควรต้องดิ้นรนหรือแม้แต่สั่งหมอให้จ่ายยาให้เรากินเพราะคิดว่ามีเงินจ่ายค่ายา แพทย์ส่วนใหญ่ได้แนะนำผู้ป่วยด้วยโรคแบบแรกนี้ว่าควรทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานมากขึ้นระหว่างเป็นโรคนั้นๆจะดีกว่า แต่กระนั้นแพทย์ก็ยังไม่มีวิธีการที่เป็นรูปธรรมชัดเจนว่า ทำอย่างไรจึงจะเพิ่มภูมิคุ้มกันได้แบบเป็นรูปธรรมและใช้งานได้สะดวกกับทุกคนเลยจริงๆ
โรคอีกประเภทหนึ่งก็คือ โรคที่เป็นแล้วถ้าไม่รักษาจะไม่หายหรือเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ โรคประเภทนี้เช่นโรคมะเร็งชนิดต่างๆ โรคอหิวาตกโรค ฯโรคพวกนี้หากเราไม่สนใจรักษา โรคจะดำเนินการพัฒนาความรุนแรงของโรคไปข้างหน้าเรื่อยๆโดยเฉพาะอหิวาตกโรคที่เป็นโรคติดเชื้อร้ายแรง หากไม่รีบรักษาจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน สำหรับโรคมะเร็งปัจจุบันเป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งในโลก การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันก็จะใช้วิธีมาตรฐานคือ การผ่าตัด การฉายรังสีและเคมีบำบัด แต่จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่ายาเคมีบำบัดทำให้ผู้ป่วยทุกชนิดมีอัตราการอยู่รอดเกิน 5 ปี ไม่เกิน2.6% เท่านั้นเอง อีกโรคหนึ่งที่กำลังเป็นปัญหาต่อวงการแพทย์ทั่วโลกในปัจจุบันและอาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงที่สุดต่อประชาชนคนไทยก็คือโรคติดเชื้อ ข้อมูลจากบทความเรื่อง “ถ้าหยุดกินยาได้ ก็จะหยุดได้หลายโรค” โดยปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้แสดงข้อมูลว่า คนไทยกินยาโดยเฉลี่ยปีละ 4.7 หมื่นล้านเม็ดหรือวันละ 128 ล้านเม็ด และพบว่าในจำนวนยาทั้ง 128 ล้านเม็ดนี้เป็นยาปฏิชีวนะมากที่สุดถึง 20%สำหรับในปี พ.ศ.2551 คนไทยซื้อยากินถึง 2.7 แสนล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 46 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
เกี่ยวกับโรคที่เกิดจากการติดเชื้อหลายชนิด หากไม่รักษาหรือใช้ยาปฏิชีวนะจะทำให้เสียชีวิตได้ ในเรื่องนี้วงการแพทย์ก็เริ่มมีความวิตกกังวลกันมาก เนื่องจากเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2557 องค์การอนามัยโลก ได้ประกาศว่าในปัจจุบันยาปฏิชีวนะได้สูญเสียคุณสมบัติเดิมของมันไปแล้วประมาณครึ่งหนึ่ง บางพื้นที่ในกลุ่มประเทศแอฟริกา เชื้อ MRSA ได้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะไปแล้วถึง 80% นั่น เชื้อ SA ที่ปกติอาศัยอยู่บนผิวหนังของคนจะไม่ทำให้เกิดโทษกับเจ้าบ้านที่ให้มันอาศัยอยู่ แต่เมื่อเกิดบาดแผล แม้รอยขีดข่วนเพียงเล็กน้อยที่ผิวหนัง เชื้อ SA จะเข้าสู่ร่างกายผ่านผิวหนังเกิดเป็นตุ่ม ฝีหนอง หรือหากเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่าทางเดินอาหารทางปาก มันก็จะทำให้เราเกิดอาการท้องเสียรุนแรงได้ แต่เมื่อเกิดการติดเชื้อ SA ยาที่ดีที่สุดที่ใช้กันทั่วไปก็คือ Methicillin แต่เชื้อ SA หัวดื้อที่เกิดขึ้นกระจายไปหลายภูมิภาคทั่วโลกเป็นชนิดที่เรียกว่า MRSAจะไม่ตอบสนองต่อยา Methicillin อีกต่อไป ทำให้แพทย์ผู้รักษาโรคติดเชื้อ SA ต้องยืนมองผู้ป่วยของเขาตายไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ เหตุการณ์ที่เป็นจุดเล็กๆนี้ในอนาคตก็จะลุกลามไปทั่วโลกสร้างความหายนะให้แก่วงการแพทย์เหมือน ครั้งหนึ่งในอดีตที่วัณโรคปอด อหิวาตกโรค กาฬโรค ได้ทำให้มนุษย์ล้มตายราวใบไม้ร่วงนับร้อยล้านคนมาแล้ว องค์การอนามัยโลกได้แสดงความวิตกกังวลว่าหากไม่มีการพัฒนายาปฏิชีวนะใหม่ๆขึ้นมาทดแทนยาที่ด้อยประสิทธิภาพในปัจจุบันแล้ว ก็จะอาจถึงยุคสุดท้ายของยาปฏิชีวนะภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ผมเองคิดว่ายาปฏิชีวนะนับเป็นตัวอย่างของแนวคิดการโจมตีโรคที่ดีมากอย่างหนึ่ง ยาปฏิชีวนะเป็นการทำงานของสารสังเคราะห์ที่มีกลไกการทำงานเฉพาะจุด เชื้อโรคสามารถพัฒนาตัวเองเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์พวกมันและเมื่อมีเชื้อโรคเพียงไม่กี่ตัวรอดชีวิตจากยาปฏิชีวนะได้ มันก็จะสามารถแพร่พันธุ์ต่อไปกลายเป็นเชื้อดื้อยาต่อไป เรื่องการดื้อยาปฏิชีวนะของเชื้อโรคเกิดขึ้นมาตลอดยุคสมัยของยาปฏิชีวนะที่เริ่มมาตั้งแต่เราเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะตัวแรกคือเพนนิซิลลินในปี พ.ศ. 2471 มาจนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่าการพึ่งพายาปฏิชีวนะหรือชาวบ้านจำนวนมากเรียกกันว่ายาแก้อักเสบ ไม่ใช่คำตอบสำหรับโรคติดเชื้อต่างๆอีกต่อไป ซึ่งหากเราใช้ระยะเวลาเป็นเครื่องมือในการตัดสินระหว่างการที่ชาวโลกพึ่งพายาปฏิชีวนะเปรียบเทียบกับระบบภูมิคุ้มกัน ก็จะพบว่าเราใช้เวลาอยู่กับยาปฏิชีวนะทั้งหลายนาน 86 ปีเปรียบเทียบกับเราอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันเป็นเวลา 3.2 ล้านปีเริ่มตั้งแต่ “แนนซี่” ลิงที่ยืนสองขาได้เป็นครั้งแรกที่เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ทุกคนในโลกนี้ และจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ระบบภูมิคุ้มกันก็ยังแสดงให้เราเห็นว่ามันมีประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยกว่าสารสังเคราะห์ ระบบภูมิคุ้มกันของคนทำงานสลับซับซ้อนเป็นระบบที่เหมือนการระดมพลังชีวิตทุกส่วนร่วมกันในการกำจัดเชื้อก่อโรคและซ่อมแซมอวัยวะที่ทำงานไปปกติ ยกตัวอย่างเช่นยีสต์สายพันธุ์แซคคาโรมัยซีส เซราไวเซอิ ที่ผนังเซลล์เป็นสารเบต้ากลูแคน และจุลินทรีย์ชนิดแลคโตบาซิลลัส ที่เกิดขึ้นระหว่างการหมักสมุนไพรคาวตองชนิดแคปซูลและชนิดน้ำจะมีคุณสมบัติที่ดีมากในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในคนและสัตว์ทดลอง จากผลการทดสอบในหนูทดลองพบว่าแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสสายพันธุ์พิเศษที่ใช้หมักสมุนไพรคาวตองสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในหนูให้สามารถยับยั้งเชื้อก่อโรคได้ดีมาก โดยเชื้อก่อโรคที่นำมาทดสอบประกอบด้วยเชื้อ Burkholderia pseudomallei ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคเมลลิออยด์ โรคติดเชื้อร้ายแรงที่เข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังที่เกิดแผลหรือทางง่ามมือ ง่ามเท้า ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อนี้ส่วนมากคือคนทำงานลุยน้ำลุยโคลนเช่นชาวนา ชาวไร่หรือคนงานขุดลอกท่อน้ำที่ดินหรือโคลนมีความชื้นมาก โรคเมลลิออยด์เป็นเชื้อโรคแบคทีเรียชนอดแกรมลบ ที่เป็นโรคที่พบในประเทศแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เช่นไทย ลาว ตอนใต้ของจีน สิงค์โปร์ มาเลเซีย พม่า เวียตนามและใต้หวันและทางเหนือของออสเตรเลีย เชื้อนี้ทำให้ติดเชื้อที่ผิวหนังและอวัยวะภายในร่างกายอย่างรุนแรง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยมีอุบัติการณ์ของโรคเมลิออยด์สูงที่สุดในโลก ร้อยละ 80 ของเด็กในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยมีผลแอนติบอดีต่อเชื้อนี้(หมายความว่าเคยถูกเชื้อนี้รุกรานเข้าสู่ร่างกาย) หากไม่ได้ทำการรักษาที่เหมาะสมอาจทำให้อัตราการเสียชีวิตสูง 90% แต่ผลจากการใช้ภูมิต้านทานของหนูทดลองที่ได้รับการกระตุ้นด้วยเชื้อจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส ปรากฎว่าสามารถยับยั้งเชื้อโรคนี้ได้ถึง95.37% และ 95.53% ในการทดสอบสองครั้งตามลำดับ ซึ่งเราจะเห็นว่าการที่เด็กอีสานร้อยละ 80 เคยติดเชื้อนี้แต่ไม่เกิดโรค แสดงว่าระบบภูมิคุ้มกันในคนสามารถป้องกันการติดเชื้อนี้ได้แม้ไม่ได้กินยาก็ตาม ตรงกันข้ามที่ผู้ติดเชื้อนี้และได้รับยาปฏิชีวนะอย่างเหมาะสมก็อาจเสียชีวิตได้ร้อยละ 80 หากมีการติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด
ผมมีบทความเกี่ยวกับคุณหมอท่านหนึ่งจากนิตยสาร ธรรมลีลา ฉบับที่ 148 เดือนเมษายน 2556 ในบทความตอนหนึ่งที่เขียนไว้ ก็ขออนุญาตนำมาเล่าให้ท่านผู้ฟังได้ทราบเพื่อใช้เป็นข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องยาดังนี้ “ กรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลราชธานี โรงพยาบาลชื่อดังของจังหวัดอยุธยา และประธานกรรมการบริหารเวลเนสซิตี้ กรุ๊ป ก็ต้องพบกับความอัศจรรย์ว่า เขาสามารถขจัดโรคร้ายทั้ง 6 โรคได้ภายในระยะเวลาแค่4 เดือน จากหนุ่มใหญ่วัยใกล้เกษียณที่ถูกโรคร้ายรุมเร้าถึง 6 โรค ทั้งโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ ตับอักเสบรุนแรง และปริมาณเม็ดเลือดแดงมากเกินไป ซึ่งจากประสบการณ์ทางแพทย์ที่สั่งสมมา ทำให้เขารู้ว่า โรคร้ายเหล่านี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงกินยาเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น ตัวอย่างโรคที่คุณหมอมีปัญหาและรักษาโดยไม่ใช้ยาเช่น โรคอ้วนก็หายไปเลย จากน้ำหนักเดิม 113.5 กก. เหลือ 85 กก โรคเบาหวาน น้ำตาลในเลือดลดจาก 294 มก./ดล.เหลือ 90 มก./ดล. ความดันเลือดสูง170/110 มม.ปรอท เหลือ 120/70 มม.ปรอท ซึ่งในนิตยสารเล่มนี้คุณหมอบุญชัยยังได้สรุปในตอนท้ายอีกว่า ขอเพียงมีศรัทธาก็สามารถหายจากโรคร้ายและกลับมามีชีวิตใหม่ได้แน่นอน”
ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่าคุณหมอบุญชัยรักษาโรคโดยไม่พึ่งยา แต่ใช้อาหารและวิธีปฏิบัติตัว ออกกำลังกายแทน แต่ผมก็เห็นว่าเนื้อแท้ก็คือให้พลังชีวิตของร่างกายหรือระบบภูมิคุ้มกันช่วยรักษาโรคนั่นเอง หากเรามองว่าเราสามารถใช้ระบบภูมิคุ้มกันเป็นเกราะป้องกันโรค มีประสิทธิภาพ ความปลอดภัย การประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย เราสามารถช่วยให้ร่างกายของเราสร้างสะเต็มเซลล์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการใช้สมุนไพรคาวตอง ซึ่งจะทำให้คนไทยลดการใช้ยาวันละ 128 ล้านเม็ดลงได้ไม่มากก็น้อย สุดท้ายผมอยากฝากไว้ก็คือ ยาไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่เป็นพลังชีวิตหรือภูมิคุ้มกันของตัวเราต่างหาก สอดคล้องกับสุภาษิตที่กล่าวว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”